25 สิงหาคม 2563

5G ยังไม่ทันใช้ อะไรคือ 6G” สำรวจเครือข่ายแห่งอนาคตที่มี AI อยู่เบื้องหลัง?


5G ยังไม่ทันใช้ อะไรคือ 6G” สำรวจเครือข่ายแห่งอนาคตที่มี AI อยู่เบื้องหลัง


  เทคโนโลยี5G(ระบบสื้อสารไร้สายยุค 5G)ซึ่งพึ่งมีการทดลองเริ่มใช้ทั่วโลก(ในงานกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่เมืองพย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้)แล้ว6Gคืออะไร5Gยังไม่ได้ใช้เลยแล้ว6Gมาจากไหน?


  คำตอบอาจยังไม่ค่อยชัดเจนแต่ก็มีเค้าลางว่าอาจจะเป็นลางของเทคโนโลยีรูปแบบใหม่

จากRazvan-Andrei Stoica และ Giuseppe Abreu ที่มหาวิทยาลัย Jacobs University Bremen ประเทศเยอรมนีทั้งสองได้นำเอาโทคโนโลยี5Gมาชำแหละและดูว่ามีปัจจัยไหนที่สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนให้พัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารไร้สาย และ 6G น่าจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ใช้เทคโนโลยี AI 


 อธิบายง่ายๆคือทุกอย่างบนยุค5Gจะสนองให้แบบreal-time

สมมติว่าตอนนี้เราใช้เครือข่าย 5G บนสมาร์ตโฟนอยู่ อย่างแรกที่เราจะเห็นได้ชัดๆ เลยคือเรื่องความเร็วที่จะมาช่วยเพื่มอรรถรสในการเสพมีเดียแบบความคมชัดสูง Netflix หรือ YouTube กดเล่นปุ๊บจะไม่มีวงกลมหมุนๆ ที่ต้องรอคอยอีกต่อไป ทุกอย่างจะเป็น HD ทั้งภาพและเสียง สำหรับเหล่าเกมเมอร์สามารถนั่งเล่นเกมส์ออนไลน์ที่เชื่อมต่อกับผู้เล่นมากมายบนโลกใบนี้ด้วย VR Headset หรือ Smartphone แบบ Real-time ไม่มีการกระตุก ไม่มีหน่วง

                      แล้ว 6G จะดีกว่ายังไงล่ะ?

แต่ข้อมูลอะไรที่กันที่จะสามารถได้รับผลประโยชน์จากสิ่งนี้ จากคำอธิบายของ Stocia และ Abreu พวกเขาบอกว่ามันจะทำให้เหล่า AI นั้นเชื่อมโยงหากันและช่วยกันแก้ไขปัญหาระดับที่ซับซ้อนในทันที ยกตัวอย่างเช่นการขับเคลื่อนรถยนต์ไร้คนขับในเมืองขนาดใหญ่ที่ต้องมีการเชื่อมโยงกันและส่งต่อข้อมูลถึงกันอย่างมหาศาลระหว่างสมองกลที่เกี่ยวข้องในวินาทีนั้น คิดถึงรถยนต์จำนวนเกือบสามล้านคันที่เข้าออกเมืองหลวงอย่างนิวยอร์กทุกวัน นี่จะเป็นปัญหาที่ได้รับการแก้ไขโดยสมองกลที่สื่อสารกันตลอดทุกวินาที




Big Data คืออะไร

    Big data คือ  คำนิยามของข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ทุกชนิดที่อยู่ในองค์กรของเราไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลบริษัท ข้อมูลลูกค้า Suppliers พฤติกรรมผู้บริโภค Transaction ไฟล์เอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด รวมไปจนถึง รูปภาพ URLs ลิงค์ต่างๆที่คุณเก็บไว้ ฯลฯ

คุณลักษณะของ Big Data (4V)

  1. ที่มีปริมาณมาก (Volume) ปัจจัยข้อแรกแน่นอนว่าคำว่า Big Data มีคำว่า “Big” นั่นก็คือข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถเป็นได้ทั้งรูปแบบ Online และ Offline ซึ่งส่วนมากแล้วจะมีปริมาณมากกว่าหน่วย TB (Terabyte) ขึ้นไป
  2. มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Velocity) ส่งผ่านข้อมูล Update กันอย่างต่อเนื่อง (Real-time) จนทำให้การวิเคราะห์ง่ายๆแบบ Manual เกิดข้อจำกัด หรือไม่สามารถจับรูปแบบหรือทิศทางของข้อมูลได้
  3. หลากหลายประเภทหรือแหล่งที่มา (Variety) หมายถึงรูปแบบของข้อมูลที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในรูปแบบ ตัวอักษร วิดีโอ รูปภาพ ไฟล์ต่างๆ ฯลฯ และหลากหลายแหล่งที่มาเช่น Social Network หรือ Platform E- Commerce ต่างๆ
  4. ยังไม่ผ่านการประมวลผล (Veracity) ยังไม่ผ่านการ Process ให้อยู่ในรูปแบบของข้อมูลดิบ (Raw Data) ที่สามารถใช้สร้างประโยชน์ต่อองค์กรได้ 


แล้วทำไม Big Data ถึงมีความสำคัญ ?

Big Data ช่วยให้คุณสามารถใช้ข้อมูลจากทุกแหล่งที่เป็นไปได้ และวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่คุณต้องการ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถเข้าใจผู้บริโภคได้มากขึ้น (Customer Insight) ลดต้นทุนได้ ลดเวลาระยะเวลาดำเนินการ และสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันหลายบริษัทได้นำ Big Data มาประยุกต์ใช้ในส่วนของการขายและการตลาดของธุรกิจ เครื่องมือที่ใช้สำหรับการรองรับ Big Data แบบที่เราเข้าใจได้ง่ายๆ และเห็นอยู่บ่อยๆ ก็อย่างเช่น Google Analytics หรือ ระบบ ERP เป็นต้น




Data Science คืออะไร?

 


Data Science คืออะไร?
1. าสตร์ที่เกี่ยวกับการจัดการ จัดเก็บ รวบรวม ตรวจสอบ วิเคราะห์ วิจัย และนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่ความรู้ท สามารถนำไปใช้งานได้จริ การตัดสินใจทางธุรกิจ การวางแผนการตลาด และทิศทางขององค์กรในอนาคต

2. ผลลัพที่ได้จาก Data Science
  - ค้นพบสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อนจากข้อมูลที่ได้
  -
ได้ Predictive Model เพื่อนำไปปฏิบัติจริง
 
- สร้าง Data Product ใหม่ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
 
- ช่วยให้ฝ่ายธุรกิจมีความมั่นใจและสามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น

03 สิงหาคม 2563

เมื่อBurger kingต้องเปลี่ยนชื่อในออสเตรเรีย

เมื่อBurger kingต้องเปลี่ยนชื่อในออสเตรเรีย

กรณีศึกษา เมื่อ Burger King ต้องเปลี่ยนชื่อในออสเตรเลีย


เรามาเริ่มจากที่มาของชื่อนี้กันก่อนหลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเป็นชื่อ Hungry Jack’s หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า Jack ผู้หิวโหยนั่นเป็นเพราะผู้ที่ขอแฟรนไชส์ Burger King เข้ามาในประเทศออสเตรเลียนั้น มีชื่อว่า คุณ Jack Cowinหลังจากที่ Burger King ตกลงจะเข้ามาเปิดในออสเตรเลีย ปี 1971ก็พบว่า ชื่อของ Burger King ได้ถูกจดทะเบียนไปแล้วในนามของร้านขายอาหารกลับบ้านแห่งหนึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ทั้งคุณแจ็กและบริษัทแม่ของ Burger King ในเวลานั้น ต้องพากันคิดชื่อใหม่ และชื่อนั้นจะต้องไม่ซ้ำใครอีก ซึ่งก็ไปตกลงที่ชื่อว่า Hungry Jack ซึ่งเป็นยี่ห้อแป้งแพนเค้กอเนกประสงค์ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ของบริษัทแม่ของ Burger King ในเวลานั้นและชื่อนี้ก็ดันมาเหมือนกับชื่อของผู้ซื้อสิทธิ์แฟรนไชส์ อย่างคุณแจ็ก พอดีและสุดท้ายเขาก็ได้เปิดสาขาแรกขึ้น ที่เมืองเพิร์ทเรื่องราวของ Hungry Jack’s นั้นก็ดูเหมือนจะไปได้ดีไม่มีปัญหาอะไรแต่แล้ว การฟ้องร้องครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น หลังจากที่คุณแจ็กต้องการจะเป็นผู้ให้สิทธิ์แฟรนไชส์กับบุคคลที่ 3 ในการขยายสาขาโดยทางบริษัทแม่ Burger King ก็ยอมตกลงทำสัญญาด้วย แต่มีข้อแม้ว่า Hungry Jack’s จะต้องเปิดสาขาเพิ่มในอัตราที่ Burger King กำหนดซึ่งท้ายที่สุดแล้ว Hungry Jack’s ก็ไม่สามารถทำได้ตามที่ตกลงเรื่องนี้ก็ทำให้ Burger King เองอ้างว่า Hungry Jack’s ไม่ทำตามสัญญาในขณะที่ เครื่องหมายการค้า Burger King ในออสเตรเลีย สิ้นสุดพอดีในปี 1996ทำให้ Burger King ได้สิทธิ์เครื่องหมายการค้านั้นมา และตัดสินใจ เปิดร้าน Burger King แข่งกับ Hungry Jack’s ในเวลานั้นเรื่องนี้ก็ทำให้คุณแจ็กไม่พอใจจนสุดท้ายก็มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้นหลังจากนั้น ศาลก็ได้ตัดสินให้คุณแจ็กเป็นฝ่ายชนะและสุดท้ายแล้ว คุณแจ็กก็ได้กลับมาเป็น เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ ของ Hungry Jack’s และ Burger King ทั้งหมดในออสเตรเลีย ในปี 2001จากเวลานับ 30 ปีที่ คุณแจ็ก ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้ คำว่า Burger King มาครอบครองแต่สุดท้าย เรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างนั้น คือ คนออสเตรเลียกลับมีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับ Hungry Jack’sเพราะด้วยชื่อที่คิดขึ้นมาใหม่ ทำให้ดูมีความท้องถิ่น และแตกต่างและมีเจ้าของที่เป็นชาวออสเตรเลียเองทำให้ Hungry Jack’s นั้นกลายเป็นชื่อที่คนออสเตรเลียชื่นชอบ



ฟอร์มของนายณัฐวุฒิ ขันอานันท์

  กำลังโหลด…